วันนี้ สารวัตรสืบส่วนวิธาน เอื้อเฟื้อได้ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น เมื่อไปถึงสถานที่เกิดเหตุพบชายอ้วนนอนจมกองเลือด มีลิ่มเลือดออกทางปากและฟันกระจายเกลื่อน จึงได้ควบคุมตัว อ่านต่อ>>benign-positional-vertigo-wisdom-teeth

เกิดเหตุเซลแมน Samsung เสียชีวิตภายในห้องพักย่านรามคำแหง พบไวอากร้าและของชูกำลังทางเพศเกลื่อน เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากหัวใจวายเฉียบพลัน

วันนี้ ( 1 ก.ค.)  ร.ต.ท.อนุรักษ์ กลางณรงค์ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจหัวหมาก รับแจ้งพบศพชายจมน้ำเสียชีวิตภายในห้องพักย่าน ถนนรามคำแหง เมื่อไปถึงพบร่างผู้ตาย ทราบชื่อคือ อดิยา รัตนวงศ์ อดีตวิศวกรบริษัทไมโครซอฟท์ สัญชาติสหรัฐอเมริกา สวมกางเกงขาสั้นสีดำ นอนคว่ำหน้าลอยอยู่ที่ผิวน้ำใกล้กับขอบสระ คาดว่าเสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ใกล้กันพบแทปเล็ตบริเวณขอบสระ // ยาประจำตัว และแว่นกันแดดวางอยู่บนโต๊ะ ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายหรือบาดแผล

 เจ้าหน้าที่ได้นำศพส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จากการสอบสวนภรรยาชาวไทยทราบว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้เข้าทำความสะอาดบ้านตามปกติ หลังจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่พบสามีจึงคิดว่าน่าจะไปเล่นน้ำที่สระ เมื่อเดินไปตรวจสอบจึงเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า น่าจะเกิดจากหัวใจวายเฉียบพลัน

เกิดเหตุเซลแมน Samsung เสียชีวิตภายในห้องพักย่านรามคำแหง พบไวอากร้าและของชูกำลังทางเพศเกลื่อน เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากหัวใจวายเฉียบพลัน

               วันนี้ ( 1 ก.ค.)  ร.ต.ท.อนุรักษ์ กลางณรงค์ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจหัวหมาก รับแจ้งพบศพชายจมน้ำเสียชีวิตภายในห้องพักย่าน ถนนรามคำแหง เมื่อไปถึงพบร่างผู้ตาย ทราบชื่อคือ อดิยา รัตนวงศ์ อดีตวิศวกรบริษัทไมโครซอฟท์ สัญชาติสหรัฐอเมริกา สวมกางเกงขาสั้นสีดำ นอนคว่ำหน้าลอยอยู่ที่ผิวน้ำใกล้กับขอบสระ คาดว่าเสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ใกล้กันพบแทปเล็ตบริเวณขอบสระ // ยาประจำตัว และแว่นกันแดดวางอยู่บนโต๊ะ ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายหรือบาดแผล

 เจ้าหน้าที่ได้นำศพส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จากการสอบสวนภรรยาชาวไทยทราบว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้เข้าทำความสะอาดบ้านตามปกติ หลังจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่พบสามีจึงคิดว่าน่าจะไปเล่นน้ำที่สระ เมื่อเดินไปตรวจสอบจึงเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า น่าจะเกิดจากหัวใจวายเฉียบพลัน

Age of game
สุดยอดเทคโนโลยีของเด็กบ้านนอก

 

          ย้อนหลังไป 20 กว่าปี ผมเป็นเด็กบ้านนอกในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงว่ามีเทคโนโลยีหรือแสงสีใดๆ

เหมือนอย่างในตัวเมือง แค่ให้มีโทรทัศน์ก็ถือว่าบ้านนั้นไฮโซมากแล้ว

 

 

          หมู่บ้านผมมีแหล่งชุมนุมของเด็กๆ อยู่ไม่กี่ที่ ที่หนึ่งคือร้านขายของที่เปิดโทรทัศน์ไว้หน้าร้าน อาศัยให้เด็กๆ

ได้ดูการ์ตูนหลังข่าวช่อง 7 อีกที่ก็เป็นลานกีฬาในหมู่บ้าน เตะบอลกันทีฝุ่นตลบหัวแดงกันไป

 

         

          จากนั้นมีครอบครัวหนึ่งย้ายเข้ามาใหม่ในหมู่บ้าน โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เด็กในหมู่บ้านผมไม่เคยเห็นมาก่อน

พวกเราตื่นตาตื่นใจอย่างมาก สิ่งนั้นเค้าเรียกกันว่าเกมกด! และบ้านหลังนี้เปิดให้บริการเล่นเกม ซึ่งเปรียบเสมือนร้านเกมในสมัยนี้

 

 

และตั้งแต่วันนั้นบ้านหลังนั้นก็กลายเป็นที่ชุมนุมของเด็กๆ ในหมู่บ้านทันที

 

 

          สมัยนั้นเราเรียกว่าเกมกดตู้ ตัวเกมมีปุ่มซ้ายขวา 2 ด้าน มีหน้าจอฟิล์มอยู่ตรงกลาง ตัวละครเป็นดิจิตอล

ครอบครัวนั้นหรือน้าเชษฐ์หัวหน้าครอบครัว จะเอาเครื่องเกมนี้เชื่อมต่อกับวงจรไฟฟ้าติดกับลังไม้ แล้วทำเป็นหยอดเหรียญ

อัตราการค่าบริการ คือ 2 บาทต่อ Game Over

 

 

 

          ใครกากตายไว เลเวล 2 ก็น้ำตาร่วง ใครเทพตายช้า บางทีเล่นเกือบครึ่งชั่วโมง

 

 

 

          เกมกดตู้มีหลายเครื่อง นับได้ประมาณ 10 แบบ มีทั้งยาน รถถัง หมา เรือดำน้ำ ฯลฯ

ซึ่งเกมที่ผมชอบที่สุดชื่อว่า Western Bar หรือเรียกติดปากว่าเกมคาบอย ฟังดูเท่ห์ ว่าเราต้องลุยกับพวกอันธพาลใช่ไหม

 

เปล่าเลย!

 

เกมนี้เราเป็นคาบอยสุดแมนเข้าไปยิงแก้วเบียร์ชาวบ้านในบาร์ให้แตกกระจาย

โดยคนในร้านนั้นจะรำคาญ ขว้างปาสิ่งของใส่โดยเราต้องหลบให้ทัน เนื้อหาแมนสุดๆ

ไม่รู้จะไปยิงแก้วเขาทำไม เขาทำอะไรให้ พิสูจน์อะไรเหรอ

แต่รู้อย่างเดียวว่ามันส์สะใจสุดๆ

 

 

 

เกมนี้มีคนต่อคิวมาก เป็นดั่ง Counter-Strike ในยุคนั้นเลยทีเดียว

 

 

 

          2 บาทต่อเกม ไม่แพงเลย แต่ผมได้วันละ 3 บาทต่อวัน แป่ว! ดังนั้นวันนึงผมจะเล่นได้แค่เกมเดียว ครั้งเดียว

การตัดสินใจในการเล่นครั้งนึงจะต้องปราณีตที่สุด สติสัมปะชัญญะดีที่สุด

ร่างกายสมบูรณ์พร้อมและเลือกเกมที่ตนเองคิดว่าถนัดที่สุด

ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน

คนที่รวยที่สุดในกลุ่มยังได้แค่ 5 บาท

 

 

ก่อนเข้าร้านแก็งค์เราจะมีการวอร์มร่างกายกันก่อน

 

 

          การวอร์มร่างกายเพื่อให้เล่นเกมได้คล่องขึ้นของเด็กสมัยนั้นจะเป็นที่น่าสังเวชของคนที่พบเห็น

เราใช้หลักการกายวิภาคศาสตร์ บวกไสยศาสตร์ของเด็กบ้านนอกมาใช้ นั่นก็คือ

 

หักนิ้วให้ดังกร๊อบแกร๊บ (ยังเป็นวิทยาศาสตร์อยู่)

 

สะบัดมือแรงๆ (ก็ยังเป็นวิทยาศาสตร์)

 

จุดไม้ขีดเผากระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเอามือผ่านไปมาเร็วๆ (ชักหลุด แต่ยังอยู่ในหลักการถือว่าทำให้เลือดลมเดินดี)

จากนั้นยกมือพนมท่องคำว่า จะเด็ด 3 ครั้ง แล้วเอาน้ำลายถ่มนิ้วตัวเอง (ไสยศาสตร์ชัดเจน)

เท่านั้นเราจะมีความมั่นใจพร้อมออกรบ โดยมี 2 บาทเป็นเดิมพัน

 

          (จะเด็ดคือตัวเอกในผู้ชนะสิบทิศ การท่องคำว่าจะเด็ด 3 ครั้งเชื่อกันว่าจะทำให้ตัวเองชนะไปถึงเลเวลสิบ 

ส่วนการถ่มน้ำลายนั้นเป็นการเพิ่มความขลังเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่น)

 

 

          แต่ไม่ว่าเราจะรู้สึกมีความพร้อมเช่นไร เมื่อเข้าไปแล้ว ความกดดันจะทะลุขึ้นสมองทันที ความพร้อม

ความมั่นใจที่เตรียมมาจะสูญหายไปทุกครั้ง และสิ่งที่พวกเราทำได้ตอนนี้ก็คือ แยกย้ายกันไปนั่งดูเด็กกลุ่มอื่นเล่น

ซึ่งจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-5 ชั่วโมง

ในการฝึกสายตา และบิ้วอารมณ์เพื่อเรียกความมั่นใจคืนมา

 

 

          การนั่งดูคนอื่นเล่น มักเสี่ยงต่อการโดนตบกะโหลกในบางครั้ง

ถ้าคนเล่นอ่อนกว่าผมจะแปลงร่างเป็นเทพทันที

ทำหน้าที่ตะโกนสั่งทุกอย่างที่เห็น..และไม่เห็น

 

          เฮ้ยๆ เก็บอันนี้เร็วๆ

 

          gu บอกให้ไปทางนี้ เอ๊ะยังๆๆ

 

          โอ๊ย เดี๋ยว gu เล่นให้เอาไหม

 

          และในบางครั้งจะมีเสียง โบล๊ะ!~” ตามด้วยเสียงน้าเชษฐ์

มุงนี่อีกแล้ว ไม่ต้องไปยุ่งกับเค้า เดี๋ยวไล่ออกจากร้านเลย

 

 

          เฮ้ย! Gu หยอดเหรียญแล้ว จิ๊กเพื่อนในแก็งค์ตะโกนบอกแข่งเสียงเกมที่ดังก้องในร้าน

พวกเราละสายตาจากที่กำลังดูกันอยู่ วิ่งไปรวมตัวกันที่จิ๊กทันที

ซึ่งจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เพื่อนในกลุ่มของเราสักคน

ตัดสินใจหาญกล้าหยอดเหรียญเล่น

 

 

          ทุกคนในแก็งค์ร่วม 6 คน นั่งมั่ง ยืนมั่ง ล้อมจิ๊กที่หยอดเหรียญไปที่เกมๆ หนึ่ง

ซึ่งเป็นเกมเฮลิค้อปเตอร์ ไปหย่อนระเบิดโรงถังน้ำมันทั้ง 4 โรง

โดยจะมีเครื่องบินออกมาจากด้านขวาเป็นระยะๆ ทางนึงเราต้องยิงเครื่องบิน

ทางนึงเราต้องไปหย่อนระเบิด ยิ่งเลเวลเยอะเครื่องบินจะออกมาเยอะ

และโรงน้ำมันจะทนทานมากขึ้น

 

 

จิ๊กดูจะมั่นใจกับการเล่นครั้งนี้มาก เพราะใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงครึ่งในการดู

โดยมีพวกเรานั่งลุ้นกันตัวโก่ง และเงียบปากทุกคนตามคำสั่งจิ๊กเพื่อใช้สมาธิ

 

 

           3 นาทีผ่านไป จิ๊กนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้างเพื่อนคนอื่นๆ เอาแต่สบถสาปแช่งฟ้าสวรรค์

ที่ทำให้มือจิ๊กไม่นิ่งพอที่จะทำให้เล่นได้นานสมใจหวัง

 

 

          ปุ่มมันไม่ดี แล้วมุงก็เอาเข่ามากระแทกหลัง gu อยู่ได้ จิ๊กยังคงพร่ำบ่น

(รู้แล้วสินะเรื่องการโบ้ยไม่ได้เพิ่งมีในสมัยนี้)

 

 

          ผมหรือผู้ที่เพื่อนตั้งฉายาให้ว่า บังกะโล่แมน มักจะเป็นคนที่เล่นคนสุดท้ายเสมอ

หลังจากที่ดูเพื่อนล้มตายไปต่อหน้าต่อตาจนหมด ซึ่งเพื่อนๆ ก็จะเต็มใจ

เพราะผมเป็นคนที่เล่นนานที่สุดในกลุ่ม เหมือนกับพระเจ้าส่งให้ผมมาเกิดพร้อมกับพรสวรรค์ของการเล่นเกมกด

และแน่นอน ผมเทพเกมคาวบอยที่สุดในหมู่บ้าน

 

 

          ผมเล่นเกมเดียวไม่เล่นเกมอื่นเลย เงินเกือบร้อยที่เสียไปตั้งแต่ต้น

ได้สร้างอัจริยะบุรุษเกมคาวบอยขึ้นมาในโลกหนึ่งคน

ซึ่งนั้นก็คือผม บังกะโล่แมนนั่นเอง

 

 

 

          เพล้งๆ ปังๆๆ เสียงคะแนนโบนัสดังกึกก้องเป็นระยะ พร้อมเสียงโม้อวดอ้างสรรพคุณไปด้วย

จนไปสร้างความหมั่นไส้ให้คนๆ นึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า แมว มือทอยตุ๊กตุ่น ต้องลุกขึ้นมากลางกลุ่มพวกผม

แล้วบอกเสียงดัง เล่นกินตังกะ gu ป่ะ?

 

 

          สมัยนั้นการกินตังก็คือการพนันที่เราใช้เป็นการชิงฝีมือมาแล้วกับกีฬาบ้านนอกทุกชนิด

อาทิ ดีดลูกแก้ว ทอยตุ๊กตุ่น โยนเหรียญบาท

แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เราจะกินตังกันด้วยเกมกด

ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดในตอนนั้น

 

 

          แมวเป็นเด็กโต อายุเยอะกว่าพวกผมประมาณ 2-3 ปี

มีก๊วนในกลุ่มอยู่แค่ 4 คนซึ่งน้อยกว่าพวกผม

แต่สามารถเตะพวกเรากระเด็นให้ล้มกลิ้งได้ไม่ยาก

แต่ด้วยความเก๋าบวกความระห่ำ

ทำให้เรารับคำท้าของแมวทันที

 

 

 

          พวกเรารวมตังกันที่มีอยู่ได้มา 5 บาท บวกกับหน้ากาก ลูกข่าง ของเล่นที่ติดตัวมาวางไว้

พนันขันต่อกับพวกของเจ้าแมวทันที โดยการตัดสินเราจะแข่งกันทำคะแนนสูงสุดของเกมใดเกมนึงในร้าน

ด้วยวิธีจับสลาก ผู้แข่งขันคือผมกับแมวเท่านั้น โดยผมได้แบกภาระและความหวังของเพื่อนๆ ไว้ทั้งหมด

หากแพ้นั่นหมายถึงค่าขนมที่เหลือกันคนละบาทสองบาทก็จะอดกินกันไปทั้งวันและของเล่นของหวงทันที

 

 

 

          และแล้วเกมกดไทยแลนด์แชมป์เปี้ยนชิพ ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยก็เกิดขึ้น

เจ้าไก่เด็กในแก็งซ์ผมอาสาเขียนกระดาษชื่อเกมทั้งสิบเกม เพื่อทำสลาก

โดยให้เด็กในร้านคนอื่นที่ไม่เกี่ยวเป็นคนจับขึ้นมา

พวกเราลุ้นกันแทบนั่งไม่ติด เมื่อเราคลี่กระดาษออกมา

ทีมผมก็ร้องไชโยขึ้นมาทันที

 

          มันคือเกม คาวบอย

 

 

 

          สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง!! ผมอธิษฐานไว้ในใจตั้งแต่ก่อนจับสลากว่าขอให้ได้เกมนี้ขึ้นมาเถอะ

แล้วผมจะงดยิงกิ่งก่า 1 วันเป็นการถวาย

แล้วก็ได้ผลตามนั้น

 

 

 

          แมวหน้าซีดที่ต้องดวลทำคะแนนกับผมเกมนี้

เพราะไม่ต้องแข่งก็รู้ได้เลยว่าใครจะชนะ

ผมออกตัวเล่นก่อนเพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นการข่มขวัญมัน

         

 

         ผมจบสกอร์ไปด้วยด้วยคะแนนหลักพันซึ่งนั้นสูงพอประมาณที่ผมเคยทำได้

ซึ่งคราวนี้เจ้าแมวดูเงียบลงไปถนัด

และเมื่อถึงเวลาที่มันเล่นก็ติดๆ ขัดๆ สบถคำตลอดเวลา

ซึ่งช๊อตเด็ดมันพยายามโกงโดยการพยายามทำมือเป็นตระคริวร้องโอดโอย เพื่อขอรีแมทซ์

แต่นั่นไม่ได้ผล จบสกอร์ไปด้วยคะแนนหลักร้อย

 

 

          เราโกยตังกับของเล่นที่ได้จากกลุ่มเจ้าแมวมาอย่างคึกคะนอง

มีเสียงโห่ร้องจากพวกเราตลอดเวลา เวลานี้เราไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

นอกจากกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปใส่รองเท้าเพื่อเอาเงินและของเล่นไปเสวยสุข

 

 

          และในระหว่างที่เรากำลังใส่รองเท้าเดินออกจากร้านนั้น เสียงเจ้าไม้เพื่อนเจ้าแมวก็ร้องดังจากในร้านขึ้นมา

 

 

 

 

 

อั้ยซ้าดดดดดดดด สลากมันเขียนคาวบอยหมดเลย!!!!!”

 

         

 

P.S. ตอนมันตะโกนพวกผมโกยตีนหมาไปเกือบครึ่งกิโลแล้ว 

 

 

 

 

 
 
เศรษฐกิจแย่
 
 
นักเศรษฐศาสตร์ร่วมกับสมาพันธ์ผู้ประกอบการฟันธงออกมาแล้วนะครับ
 
ว่าในสภาวะเศรษฐกิจแย่อย่างนี้
 
ผู้ที่มีโอกาส และหาเงินได้เก่งที่สุด
 
คือใครรู้มั๊ยครับ
 
 
 
 
เมียครับ
 
ใช่ครับ คุณผู้อ่านคนนั้นตอบถูก
 
เมียหาเงินเก่งที่สุด ใครจะเถียง
 
ถ้าอยากพิสูจน์ลองเอาเงินซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งสิครับ
 
แม่งหาเจอหมดครับ
 
 
 
ประสบการณ์สั่งสอนให้ผมได้รู้ว่า
เราไม่ควรซ่อนเงินไว้ในหนังสือการ์ตูนโดยเด็ดขาด
 
 
เสียใจจริงๆ
 
 

 

Nobody But You

Posted: April 9, 2009 in ความคิด

NOBODY BUT YOU
 
บัทยู ขวยอะไร
 
ฟังกี่รอบก็บ่องชู่ว์
 
 
หูตูเพี้ยน
หรือห้าชะมดลิ้นไก่สั้นกันแน่
 
บ่องชู่ว์ บ่องชู่ว์
 
ถ้าบัทฟังเป็นบ่อง
ต่อไปเวลาเรียกคอตตอนบัท
เราก็เรียกคอตตอนบ่อง
สมบัติ เมทะนี
เราก็ต้องออกเสียงว่า
สมบ่อง เมทะนี
 
แล้วยูนี่ฮาสุด
 
ยู = ชู่ว์
 
เอ็ม เอ็น โอ พี คิว อาร์
เอส
ที
ชู่ว์
วี
..
 
“Hey! You Listen to me”
 
เฮ้ ชู่ว์ ลิสซึลทูมี
 
ไอ้ชู่ว์มันจะฟังเรามั๊ย
 
 
“I Love You”
 
ไอ
 
เลิฟ
 
ชู้
 
 
กรูว่างานนี้มีโดนตบกันแน่ๆ อ่ะ
 
 
ต่อไปเพลง
I Love You But You‘re Green
 
จะต้องอ่านว่า
 
ไอเลิฟชู้ บ่อง ชู้อาร์กรีน
 
ฉันรักชู้ แต่พอเบิ่งตาดูชู้แม่งดอเขียว
  
 
ที่ต้องมาพูดถึง
เพราะได้ยินทุกวัน บ่องชู่ว์ บ่องชูว์
คนร้องตามมันก็ร้องได้แต่ท่อนฮุค
ตั้งใจเน้นคำว่าบ่องชูว์มาก
รำคาญญญ
 
เอาเหอะ Up to You
but not of gu
 
 
 
ฟ่อกชู่ว์
 
 
 

 

  

100 บาท กับความสุขเกินร้อย

  

วันนี้ไปกินข้าวฟู้ดคอร์ท
ที่โลตุ๊ดบางนา

  

หาที่นั่งไม่ได้ คนเต็มไปหมด

  

อ่ะนั่น คนกำลังลุกเลย

พอเค้าลุกป๊าบ
ผมพาแอนเข้าไปเสียบปุ๊บ

จัดแจงโอนย้ายซากจานและอาหารที่เหลือ
ไปวางริมโต๊ะทันที

บอกให้แอนจองโต๊ะไว้ ผมไปออกไปล่าอาหาร

ระหว่างนั้นโต๊ะข้างๆ ก็ลุกพอดี

ก็เลยเอาซากอาหารคนเก่าไปกองๆ รวมๆ กัน

  

พอยกอาหารกลับมา
กำลังจะกินข้าวเข้าปาก

เอ๊ะ เสียงก๊อกแก๊กๆ ข้างหลัง
โต๊ะที่เอาซากอาหารไปกองรวมๆ ไว้

หันไปใจหล่นตุบทันที

ยายแก่ชรามากๆ หิ้วถุงเน่าๆ มาด้วย
นั่งกินเศษอาหารที่ผมเอาไปวางกองไว้ตะกี้

ยายตั้งใจกินมาก ของเหลือมีเศษข้าว 3-4 คำ
น้ำแกง มีเต้าหู้กับผักเหลือนิดหน่อย
และที่สำคัญ เศษอาหารหลายๆ อย่างผสมอยู่กับทิชชู่ที่ใช้แล้ว

  

ผมควัก 100 บาทแอบไปหย่อนลงถุงเน่าแก

และตั้งใจกินข้าววันนั้นไม่ให้เหลือ

100 บาทไม่ได้มากถึงกับให้แกไปกินของดีๆ ได้

 

แต่ก็คงทำให้แกยิ้มได้หลังอาหาร

———————————————-

  

หลายวันก่อน

 

ผมกำลังเดินกลับห้อง

เดินผ่านหน้าการไฟฟ้า

ตาคนนึงแต่งตัวสกปรกมอมแมม
เค้าเก็บขยะบริเวณแถวตึกออฟฟิคประจำ
อายุไม่ต่ำกว่า 70 ปี
ไม่เคยเห็นลูกหลานเค้ามาช่วยเข็นรถขยะ

เค้าเดินช้าๆ ตัวเปล่าๆ ข้างหน้าผม

สูตรเดิม

ผมควัก 100 บาท
แล้วสาวเท้าเดินไปให้ทันแก

สะกิดๆ

“ตาๆ ทำตังตกอ่ะ”

ตาแกเงอะงะๆๆ ทำท่าจะพูดว่าไม่ใช่ของแก

ผมจับยัดใส่กระเป๋าเสื้อแก แล้วเดินชิ่งอย่างรวดเร็ว

  

ผมเดินไปยิ้มไป คิดมุขนี้ได้ไงวะกู

แต่ความสุขผมเกิด

  

—————————————————————

  

เมื่อวาน

ผมทำธุระแถวอนุสาวรีย์
เดินข้ามสะพานลอยฝั่งโรงบานราชวิถี

ผมเดินผ่านขอทาน 4-5 คนโดยไม่สนใจ

แต่สักพักผมต้องนั่งหยุดริมบันได

ยายกับหลานตัวเล็กๆ ขายตุ๊กตาถักตัวละ 20 บาท

“ขอพี่ตัวนึงคับ”

ผมควักแบ็งค์ร้อยส่งให้ตัวน้อย
แล้วทำเป็นโทรศัพท์เข้ามาพอดี
ลุกออกมาโดยไม่รอตังทอนกับตุ๊กตา

ไกลพอควรจึงค่อยหันไป

  

หาเรื่องอมยิ้มอีกแล้วกู

  

—————————————————–

  

เรื่องมันก็นานมาแล้ว

  

แม่ลูกคู่นึงนอนข้างฟุตบาท

แน่นอนแบ็งค์ร้อยถูกควักออกมาในทันที

ให้แอนเป็นคนเอาไปให้

กะจะไปมันเอาไปวางไว้เฉยๆ

ดันไปปลุกเค้าตื่น

เค้าก็ตกใจว่ามันจะมาทำอะไร
เค้าคงกลัวว่าไอ้แอนจะไปขโมยรองเท้าแตะเค้าละมั๊ง

เลยรีบๆ ให้แล้วรีบวิ่งออกมาแบบหน้าแหกๆ

  

ของแบบนี้มันอยู่ที่ศิลปะเฉพาะตัวจริงๆ

แต่ก็ทำให้ผมยิ้มได้เหมือนกัน

  

——————————————

เรามักจะหาสิ่งรอบๆ ตัวเพื่อใช้เป็นสิ่งบันเทิงเสมอ

บางครั้งเราก็ยอมจ่ายมันเพื่อผ่อนคลาย

ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ร้องเพลง กินเบียร์ชิวๆ

100 บาทมากสำหรับคนที่ขาด
แต่น้อยนิดสำหรับคนที่เหลือ

ผมไม่ได้มาเล่าความดีของตัวเองให้โลกฟัง
แต่อยากจะเชิญชวนเข้าสมาคม 100 บาท
ซื้อสิ่งบันเทิงอีกรูปแบบหนึ่ง เดือนละครั้งเหมือนดูหนังแจ่มๆ สักเรื่อง

แล้วกลับมาเล่าให้ฟังกันหน่อยว่า

แต่ละคนมีมุกอะไรมาโชว์กัน
คนชนะจะได้รับการสรรเสริญเยินยอจนหน้าบานกันเลยทีเดียว

  

ขอรับรองว่า 100 บาทที่จ่ายไป

  

ผ่อนคลายเกินร้อยจริงๆ สาบาน

  

——————-
ไม่จริงให้กระโปกผมมีอันเป็นไปในสามวันเจ็ดวัน

  

 

 

 

 
เผลอมองนม
 
 
คุณผู้หญิงทั้งหลาย
 
คือบางทีเราก็ไม่ได้ตั้งใจไปมองนมคุณหรอก
 
ตามันหล่นไปที่นมมันก็ไม่ตั้งใจมันก็มีบ้าง
 
ใช่ว่าคุณมาเห็นเราตอนเราแว้บดันไปมองนมพอดีเนี่ย
 
ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนหื่น หรือยังไง
 
เพราะนมบางคนเราก็ไม่ได้อยากดู
 
บางคนเราแว้บไปดูถึงแม้คุณไม่ตั้งใจ
 
เราก็อยากจะเคาะกบาลตัวเองทำให้ตัวเองกินข้าวไม่ลงทำไมเนี่ย
 
บางคนเสื้อก็เว้า มันเป็นจุดโฟกัสของสายตาน่ะ
 
บังคับไม่ให้มอง แต่โฟกัสตามันจะหล่นวูบ
 
ไม่ได้มาเล่นมุขด้วย พูดจริงๆ ว่าบางทีไม่ได้ตั้งใจ
 
 
 
เข้าใจกันบ้างมั๊ย
 
 

พลเมืองดี

Posted: February 16, 2009 in กวนตีน

 
พลเมืองดี
 
 
วันนี้ผมได้อีเมล์มาฉบับนึง ชื่อ Subject ว่า
 
"เด็กพาณิชย์ เอาโทรศัพท์ไปซ่อม (พลาดไม่ได้! อย่าลบ)"
 
รูปภาพที่มันส่งมาเป็นน้องผู้หญิงที่อาจนึกสนุก
ถ่ายรูปส่วนตัวไว้ที่มือถือ
คาดว่ามือถือคงเสียแล้วไปส่งซ่อมก็เสร็จพวกช่างซ่อมมือถือเลวๆ ตามระเบียบ
 
ผมดูชื่อแรกสุดของคนที่ส่งมา จะดูไอ้คุณคนเนี้ยมันเป็นช่างซ่อมมือถือผู้เผยแพร่หรือเปล่า
 
ซึ่งต้นฉบับเมล์มันคือ (ขอไม่เอ่ยชื่อ) เป็นช่างคอมหรือเปล่าไม่แน่ใจ
 
แต่ที่ลากๆ มา มันคือเมล์แรก
 
ซึ่งไอ้คุณ (ไม่เอ่ยนาม) เนี่ย ก็เป็นหนึ่งในผู้เผยแพร่ประจานน้องเค้าออกไป
แล้วมันพิมพ์ข้อความว่า
 
"ผู้หญิงระวังหน่อยจ้า.."
 
 
 
ผมขอตอบแทนน้องผู้หญิงพาณิชย์คนนั้นละกัน
 
"ขอบคุณ คุณเป็นพลเมืองดีจริงๆ ค่ะ"
 
 
 

แม้ว

Posted: February 6, 2009 in บ้าน

 
แม้ว
 
 
 
ไปตลาดกับแอน
 
ระหว่างที่กำลังเดินๆ ผ่านหน้าร้านขายผัก
 
ยายแอนพูดขึ้นมาว่า
 
"กินผักบั๊กกะรี่มั๊ย"
 
"อะไรนะ" ผมถามเพราะตะกี้ฟังไม่ชัด
 
"ผักบั๊กการี่"
 
 
 
"ผักอะไรบั๊กกะรี่"
 
มันชี้ไปที่ผัก บร็อกโคลี่
 
"แอน ไหนเรียกใหม่ให้ฟังหน่อยว่าผักอะไร"
 
แอนเริ่มรู้ตัวว่ามันเรียกผิด เลยเริ่มไม่มั่นใจ
"ผัก ..บั๊ก..กา..โร..รี่"
 
มีสระโอเพิ่มขึ้นมาอีกตัว เสริมความมั่นใจ
 
 
 
"เอานะ ตั้งใจฟัง เค้าเรียกว่าผักบร็อกโคลี"
 
"อืมๆ บร็อกลี่ลี่ เอาเหอะๆ ช่างมันๆ"
 
 
 
ผมแกล้งมัน
"อ่ะ กินก็กิน สั่งแม่ค้าดิ"
 
"เอานี่ค่ะ" มันบอกแม่ค้า แล้วชี้ๆ ไม่เอ่ยชื่อ
 
ผมถาม "ผักอะไรบอกป้าเค้าสิ"
 
 
 
 
 
 
"ผักบ็อกโคลารี่"
 
 
 
 
 
 
 
พอ!
 
 
 
———————————————————
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มีเมียเป็นแม้ว อย่าให้เดินตลาดตามลำพัง